26 November 2007

ปีใหม่นี้..มีการ์ดสวยๆสำหรับเพื่อนของคุณแล้วหรือยัง

โปสการ์ดทำมือสวยๆ สำหรับเป็นการ์ดอวยพรปีใหม่ค่ะ มีหลายแบบให้เลือก ทางด้านขวามือค่ะ
สนใจติดต่อสั่งซื้อได้ที่ 089 1175221 หรือส่งอีเมล์มาได้ที่ aeea26@yahoo.com นะคะ
ราคาจำหน่ายภาพละ 12 บาท ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียนฟรีค่ะถ้าจำนวนไม่เกิน 20 ภาพ
ถ้าเกินกว่านั้นขออนุญาตคิดค่าจัดส่งตามน้ำหนักจริงนะคะ

การชำระเงิน : โอนเงินผ่าน ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาทองหล่อ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 042 255091 6
หรือ ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางกะปิ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 003 2 86195 4 ชื่อบัญชี กนกพร วิวัฒนาการ

17 September 2007

ผู้หญิงกินเหล้า 3 : ก๋ากั่น

ผู้หญิงกับเหล้า..จริงๆฟังดูมันไม่ค่อยจะเข้ากันซักเท่าไหร่ อันว่าสาวไหนดื่มเหล้าเป็นน้ำ ต้องไม่พ้นถูกคนขนานนามว่า แม่เมรีขี้เมา เป็นแน่แท้.. ถึงสมัยนี้ สังคมจะเปิดกว้าง มองไปในสถานบันเทิงที่ไหน ย่อมเห็นผู้หญิงเป็นจำนวนมากกว่าผู้ชายแน่นอน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลที่จำนวนประชากรหญิงมากกว่าประชากรชายไทย หรืออาจจะเพราะเหตุผลอื่นใดก็ตามแต่
วิธีการดื่มสุราของผู้หญิงแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ดื่มแบบจิบๆ (ออกสังคม) ดื่มโชว์หนุ่มหรือโชว์เพื่อน ดื่มเพื่อลืมเธอ (ช่วงอกหัก) ดื่มหัวราน้ำ (พวกแอลกอฮอลิซึ่ม) หรืออื่นๆ ...แล้วคุณล่ะ วิเคราะห์ตัวเองออกมั้ยว่าเป็นแบบไหน
ดื่มแบบจิบๆ : กลุ่มนี้เน้นแบบเพื่อออกสังคมมากกว่า ไม่เน้นเมา แต่เน้นสวยไว้ก่อน แม่สอนไว้ ส่วนมากก็จะชอบเครื่องดื่มประเภท ไวน์ คอกเทล เพราะสีสวย รสหวานและดูรับประทานง่าย แต่ถ้าอร่อยมากไปก็เมาไม่รู้ตัวเหมือนกัน เห็นมานักต่อนักแล้ว ประเภทมือใหม่หัดดริ้งค์ เจอหนุ่มๆหลอกชนคอกเทลจนเมาหัวปักกลางงานเลี้ยง ตอนมาสวยอย่างกะนางฟ้า ขากลับเหมือนนกปีกหัก โดนหามขึ้นรถสภาพยับเยินเกินห้ามใจ ระวังไว้..คอกเทลนี่แหละตัวดี ใครกี่คนจะรู้ว่าดีกรีมันแรงกว่าเหล้าสีขนาดไหน อย่าจิบจนเพลิน เพราะจะเมาไว เมาหนักและเมาค้างแน่นอน
ดื่มโชว์หนุ่มหรือโชว์เพื่อน : พวกนี้มีเหตุผลในการกินแค่ไม่กี่ประการ โชว์หนุ่ม หรือโชว์เพื่อน ว่าตัวข้านี้ คอแข็งยิ่งนัก ซดเอา กระดกเอา บางรายซ่าส์มากหน่อยก็ตบเหล้าเพียวๆ ตามด้วยน้ำเปล่า หรือที่เรียกกันว่า "ดับเพลิง" สาวๆจ๋า ถ้าคอไม่แข็งจริง และไม่เจ๋งจริง อย่าเชียว ไม่ว่าจะโดนท้าโดยทายอย่างไรก็ใจแข็งไว้เถิด เสียหน้านิดหน่อย แต่ตอนเมาจะเสียฟอร์มหนักกว่าหลายเท่านัก ดีไม่ดีจะพลอยเสียอย่างอื่นซ้ำอีก ได้ไม่คุ้มเสียหรอกนะจะบอกให้
ดื่มเพื่อลืมเธอ : พวกเมาประชดรัก เห็นมาอีกมากมายหลายรายเช่นกัน ไม่เห็นมันจะลืมได้ซักเท่าไหร่เลย ยิ่งเมายิ่งเพ้อเจ้อหนักกว่าเดิม ร้องไห้คร่ำครวญปานประหนึ่งญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต แล้วสภาพตอนร้องไห้ไปเมาไป มีรายไหนสวยบ้าง ถามหน่อยเถอะ แถมบางรายอยากลืมมาก จนยั้งไม่อยู่ สุดท้ายได้แฟนใหม่โดยไม่เจตนาเพราะเมาไม่รู้เรื่องนี่แหละ โธ่ถัง! หาแฟนตอนเมา คงได้ดีกว่าที่ผ่านมาหรอกนะจ๊ะ เขาเรียกว่าเจอกันในสถานที่อโคจร แปลว่า แม้แต่วัว มันยังไม่อยากเดินผ่าน (???)..แล้วเธอจะหาสุภาพบุรุษแสนดี มีน้ำใจและรักเธอจริงจังได้ในสถานที่แบบนี้งั้นหรือ ลองคิดดู
ดื่มหัวราน้ำ : พวกนี้เข้าข่ายแอลกอฮอลิซึ่ม ซึ่งเพื่อนๆชอบบอกว่า ฉันจัดอยู่ในประเภทนี้ แม้ฉันจะอ้างสุนทรพจน์ของท่านพี่โกวเล้งที่ว่า "ข้าพเจ้ามิได้ชื่นชอบในรสชาติของสุรา แต่ชื่นชอบในบรรยากาศของการร่ำสุรา" แต่ดูท่าจะไม่ค่อยมีใครเชื่อสักเท่าไร หาว่าฉันเอาพี่โกวเล้งแกมาเป็นข้ออ้างในการไปกินเหล้า แต่ ฉันขอยืนยันว่า ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบกินเหล้าตอนเศร้าหรือเครียด แต่ชอบกินในวงเหล้าที่มีเพื่อนฝูงมาพบปะสังสรรค์เพื่อสรวลเสเฮฮามากกว่า เพราะรสชาติเหล้ามันขมพอแล้ว จะเอามาเติมให้ชีวิตมันขมขื่นยิ่งกว่าเดิมอีกทำไม แล้วสมองเราก็จะทำงานหนักมากขึ้นและแอลกอฮอล์ก็จะเข้าไปช่วยกดประสาทหนักกว่าเดิม ตานี้ล่ะ เมาไม่รู้เหนือรู้ใต้กันไปเลย
เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เครียดมากเลยตัดสินใจชวนเพื่อนสาวไปดริ้งค์กันแถวอาร์ ซี เอ วันนั้นสามสาวดวดกันไปหนึ่งกลมครึ่ง เมาปลิ้น แต่ยังไม่หนำใจ จะไปต่อที่สีลมซอย 4 ซึ่งสมัยนั้นฮิตกันมาก บางบาร์เปิดถึงเจ็ดโมงเช้า เพราะยังไม่มีกฎหมายควบคุมเวลาปิดสถานบันเทิงเหมือนตอนนี้ ความเมามักทำให้เรามองเห็นช้างตัวเท่าหมูและทำอะไรไม่ค่อยคิด
คุณๆเคยเห็นลวดสลิงที่กั้นทางข้ามถนนตลอดแนวใต้รถไฟฟ้าไหม เขาจะขึงเพื่อไม่ให้คนข้ามตามแนวเกาะกลางถนน แต่จริงๆมันก็จะมีช่องทางให้ข้ามไปได้เป็นบางช่อง แต่คนเราอารามเมาและรีบจะไปกินเหล้าต่อ กลัวขาดตอน ทำให้ฉันลงทุนคลานลอดลวดสลิงที่ว่านั่นไปหน้าตาเฉย แล้วที่น่าเกลียดสุดๆคือ ก้นน้อยๆอันงามงอนของฉัน ดันไปติดอยู่กับสลิงเส้นล่างสุดที่ดีดกลับลงมาพอดี ค้างดิ้นกระแด่วๆอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามาฝั่งตรงข้าม บรรดาฝูงมนุษย์หน้าสีลมซอย 4 ยืนขำฉันกันขี้แตกขี้แตน ที่ร้ายกว่านั้น คือ เพื่อนที่มาด้วยกัน มันเดินไปข้ามตรงช่องทางข้ามซึ่งห่างไปแค่สามสี่ก้าวเรียบร้อยแล้ว พวกมันยืนขำกันอยู่อีกนานกว่าจะคิดได้วิ่งมาช่วยเอาตัวฉันออกมาจากใต้ลวดสลิง นอกจากจะไม่ได้กินเหล้าแล้ว ยังขายหน้าประชาชีถนนสีลมอีกต่างหาก.. มิหนำซ้ำ ตอนกลับไปห้อง ฉันรู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วนมาก เลยจะเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ นั่นคือความรู้สึกครั้งสุดท้าย ก่อนจะตื่นมาพบว่า ตัวเองนอนหลับไปใต้อ่างล้างหน้า โดยมีถังขยะเป็นหมอนหนุนหัว สภาพทุเรศที่สุดตั้งแต่เคยกินเหล้ามา ที่แย่คือ ดันจำได้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง เพราะก็ยังไม่เมาถึงที่สุด แค่หลุดๆ ลืมคิดเท่านั้นเอง (จริงๆนะ)...
หลังจากวันนั้น ฉันก็ได้คิดว่า กินเหล้าตอนมีความสุข สนุกกว่าเยอะ เหล้ามันจะหวาน ดื่มแล้วเพลิน ไม่ค่อยเมาหนัก ต่อมความสุขของร่างกายก็ทำงานได้ดี ได้สนุกสนาน หัวเราะขำขันกับมุขตลกของเพื่อนๆได้เต็มที่ แล้วก็จะกินแบบรู้ตัวว่าควรจะหยุดตอนไหน กลับบ้านตอนไหน กลับยังงัย เห็นไหม สบายกว่ากันเยอะ..ที่สำคัญ ศรีษะของเราท่าน จะได้นอนบนหมอมนุ่มๆ หลับสบาย ไม่ใช่นอนบนถังขยะแบบฉันแน่ๆ
แต่ก็อาจจะด้วยการที่ฉันขยันร่วมวงสุรากับบรรดาเพื่อนผู้ชายเป็นโขยงๆบ่อยครั้งเกินไป ทำให้หลายคนมองว่า ฉันดูเป็นผู้หญิงห้าวและก๋ากั่นมาก ฉันก็มักจะตอบว่า เปล่าหรอก บุคลิกฉันเป็นคนห้าวแบบนั้นเอง แต่เวลากินเหล้าฉันจะระวังตัวเองเป็นที่สุด เพราะเคยมีประวัติเกือบจะถูกมอมยามาแล้ว แต่เนื่องจากเป็นคนสวยมาตั้งแต่เกิด (ฮา...ไม่มีใครชม ขอชมตัวเองนี้ดส์นึง) เลยต้องมีการระวังตัวไว้เป็นอย่างดี พอรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆลอยอยู่ในแก้วเหล้า ดื่มเข้าไปแล้วมันเหมือนมีรสชาติเฝื่อนๆลิ้น เลยรีบเทเหล้าทิ้งก่อนและยืนด่าๆๆๆ ไอ้คนที่เอายาอะไรมาใส่ในแก้วเหล้าจนเอาตัวรอดมาได้ อ่ะ อ่ะ ไม่เชื่อล่ะสิ ..อย่าดูถูกกันไปเชียวนา อย่างน้อย หน้าตาอย่างฉันก็ทำให้มีคนตาถั่วในที่มืด(สนิท) มาแล้ว ..
แต่ก็นะ..สาวๆหลายคนซ่าส์ไม่ดูที่ดูทาง ถูกหลอกชนแก้วก็ชนเอาๆ โดยเฉพาะเวลาดื่มกับหนุ่มๆแปลกหน้าที่เข้ามาจีบ เผลอไว้ใจว่าหน้าตาดี จนลืมมองในแก้ว ลืมชิมว่ารสเหล้าที่เข้าปาก มันแปร่งไปมั้ย มัวแต่มั่นใจจนลืมระวังตัว สุดท้าย แค่เหล้าแก้วนั้น เธอก็อาจจะต้องเจอกับภยันตรายร้ายแรงหลายอย่างที่คาดไม่ถึง
กฎสำคัญของผู้หญิงที่ริจะกินเหล้า หรือจะเข้าวงการสุรา ..พึงสำเหนียกไว้ให้ดีๆด้วยว่า เราต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ...จำเอาไว้นะ..จะซ่าส์ จะก๋ากั่นทั้งทีก็ให้มีลิมิต อย่าทำร้ายตัวเอง ด้วยการดื่มจนสิ้นสติ
ริจะกินเหล้าก็อย่าให้เคล้าน้ำตา ..ริจะดื่มสุรา ก็อย่าให้เสียอนาคต..
เป็นสุภาษิตสอนหญิงเพิ่มเติมบทใหม่ที่ต้องจำเอาไว้ให้ดีๆ ท่องเอาไว้ให้แม่นมั่นเลยนะสาวๆ มิฉะนั้นจะหาว่าไม่เตือน..

17 June 2007

ผู้หญิงกินเหล้า 2 : เทียบรุ่น

สมัยสาวๆตอนที่ต่อมความห้าวเพิ่งเริ่มแตก ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มเพื่อนๆและอาจจะเป็นคนเดียวของคณะที่บังอาจไปงัดข้อกินเหล้ากับนักการ หรือภาษาง่ายๆของบ้านเรา ก็คือ ภารโรงนั่นเอง
เนื่องจากคณะที่ฉันเรียนออกจะไฮโซพอควร ในสายตาของคนทั่วไป นักการของเราจึงค่อนข้างจะดูดีมีระดับตามไปด้วย อันหมายถึง เป็นคนที่นักศึกษาต้องพึ่งพาตลอดทั้งการขอใช้ห้องเรียน หรือห้องประชุม สำหรับทำกิจกรรมรอบค่ำ และการอำนวยความสะดวกต่างๆในการใช้สถานที่ทั้งหมดทุกส่วนของคณะ ทั้งในและนอกเวลาราชการ การใช้บริการเวรยามต่างๆ รวมไปถึงธุระอื่นๆทั้งส่วนรวมและส่วนตัวอีกด้วย ซึ่งถ้าเราซี้กับพี่ๆนักการเสียแล้ว ทุกอย่างในคณะนี้ก็ไม่ต้องห่วง ถือได้ว่าพี่ๆนักการนั้นเป็น "ผู้ทรงอิทธิพล" เล็กๆกลุ่มหนึ่งทีเดียว
ดังนั้น การไปร่วมเสวนาในวงเหล้ากับนักการ ถือว่านอกจากจะได้กลุ่มเพื่อนรุ่นใหญ่แล้ว ยังได้ประโยชน์กับการทำกิจกรรมในคณะอย่างมหาศาล แม้กระทั่งการออกค่ายอาสาฯ ที่มีฉันเป็นประธาน ก็ยังมีพี่ๆนักการลางานตามไปช่วยงานค่ายด้วย ซึ่งคณะอื่นไม่มีใครเขาทำกันแน่ๆ ขืนลางานไปแบบนี้คงได้โดนไล่กลับไปนอนให้เมียเลี้ยงอยู่ที่บ้านกันเป็นแถวๆ..
ใครจะเคยเห็น ภาพพี่ๆนักการไปยืนหน้ามันช่วยผสมปูนฉาบฝา ทาสีอาคารเรียน ขุดหลุม ลงเสา กี่ค่ายที่จะมีพี่นักการของคณะตามไปจนถึงหมู่บ้านห่างไกลความเจริญเพื่อช่วยดูแลเป็นธุระเรื่องหุงหาอาหาร รวมไปถึงกับแกล้มในวงสุราตอนแดดร่มลมตก กี่คณะที่จะมีนักการคอยดูแลเป็นหูเป็นตา ตามไปดูแลความปลอดภัยให้นักศึกษานอกสถานที่ถึงขนาดนั้น ไม่มี๊ ไม่มีหรอก บอกได้เลย..
แต่กว่าจะมีวันที่พวกเราและพี่ๆนักการได้ใกล้ชิดสนิทสนมกลมเกลียวกันจนถึงขั้นนั้น ฉันต้องเอาตัวเข้าไปคลุกวงในอยู่หลายยก ฮ่า ฮ่า อย่าเข้าใจผิด ฉันหมายถึงการเอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในวงเหล้าที่พี่ๆเขาสังสรรค์กันเป็นประจำต่างหาก กิจกรรมยามเย็นที่เราพบเห็นอยู่เสมอคือ วงสุราที่พี่ๆนักการแอบซ่องสุมกันอยู่หน้าร้านอาหารใต้ตึกคณะ ซึ่งไม่มีทางที่จะรอดพ้นพวกหูผี จมูกมดอย่างฉันไปได้ ฉันโฉบไปเฉี่ยวมาจนพี่ๆสงสัย แล้วแกล้งเอ่ยปากชวนว่า อ้าว! เอ็ง ไม่ลองกินซักกรึ๊บรึ... จะว่าท้าทายก็ไม่เชิง แต่ก็นะ เรามันก็บุกมาถึงถิ่นขนาดนี้..ลองเสียหน่อยเป็นไร ไม่กินเดี๋ยวจะหาว่า ไม่แน่จริง..
วันที่พี่ๆนักการออกแนวชื่นชมฉันมากที่สุด จนถึงกับเอาไปเล่าเป็นวีรกรรมให้รุ่นน้องได้ฟังต่อมาอีกยาวนานหลายรุ่น ก็คงเป็นวันที่ฉันก๋ากั่นได้ที่ ถึงขนาดยืนดวดแม่โขงเพียวๆตบด้วยมะนาวหนึ่งชิ้น กินมันกันตั้งแต่ยังไม่แดดร่มลมตกเลย แถมซัดกันซะใต้คณะนั่นทีเดียว เย้ยจมูกคณบดีเหลือหลาย แหม! ไอ้ตอนนั้น ฉันก็ว่าเรานี่ช่างแมนเสียเหลือเกิน ไม่ได้มองตามสายตาใครต่อใครหรอกนะ ว่าคนอื่นเขาจะชื่นชมด้วยรึเปล่า แต่ให้มาย้อนคิดตอนนี้ บอกตรงๆ..งง..!! ทำไปได้..
นี่ยังไม่รวมที่พี่ๆนักการที่น่ารัก ที่ได้ช่วยขยายข่าวว่าต้องมาคอยปลุกฉันไปเข้าเรียนในตอนเช้า หลังจากที่ฉันสโลสเล มามหาวิทยาลัยตั้งแต่ตีห้าเศษ แล้วต้องมานอนรอเข้าเรียนด้วยนะ อ๊ะ..อ๊ะ..อย่าตกใจ มิได้ขยันเรียนแต่อย่างใด แต่เพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวดิสโก้เธค (สมัยยังมีแรงดิ้น) เลิกมาตอนตีห้าเศษๆ แต่มีเรียนตอนแปดโมงเช้า ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องเช็คชื่อ เลยตัดสินใจว่านั่งรอประตูมหาลัยเปิดตอนตีห้าครึ่งแล้วเข้าไปนอนในคณะกันเลยดีกว่า ว่าแล้วฉันกับเพื่อนอีกคน (ซึ่งเป็นผู้ชายหน้าตาดีติดอันดับของคณะเสียด้วย) ก็ไปยึดเก้าอี้ยาวสองตัวนอนมันกันเสียที่ริมสนามฟุตบอลฝั่งตรงข้ามคณะนั่นเอง เรื่องนี้ยิ่งน่าอายหนักขึ้นไปอีก ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเมื่อก่อนฉันเป็นไปได้ขนาดนั้น แถมไอ้เพื่อนยากคนนั้น อันเป็นชายในฝันของสาวๆหลายคนในคณะก็ต้องพลอยมารับเคราะห์เสียชื่อเสียงไปกับฉันด้วย หาหญิงควงไม่ได้ไปอีกหลายเดือนกว่าข่าวจะซา จะโทษใครก็คงไม่ได้ พวกเรามันบ้าเอง ฉันเองก็พลอยโดนกระหน่ำด้วยข้อหาว่า ไปเที่ยวแรดกับหนุ่มๆจนเช้า แถมโทรมมาขนาดหนักจนถึงขั้นกลับบ้านไม่ได้ ความจริงฉันไม่ได้มองว่าเรื่องนี้มันน่าเอาเยี่ยงอย่างแต่ประการใด หนำซ้ำยังน่าเขกกะโหลกเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าเอามาเทียบกับเด็กสมัยนี้หลายๆคนแล้ว บอกได้เลยว่า ฉันยอมแพ้ ยกธงขาวให้เลย..
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกเรื่องก็ไม่ใช่ปัญหาของความสัมพันธ์ระหว่างเรา เพราะเรารู้ว่าจริงๆแล้วพี่ๆก็รักพวกเรามากพอดู จึงขยันสรรหาเรื่องราวมาหยอกล้อให้ได้เฮฮากันอยู่เสมอ ทุกๆปีใหม่ และเทศกาลสำคัญต่างๆ ฉันและเพื่อนๆ จะมีของขวัญติดไม้ติดมือเป็นเครื่องเซ่นให้พี่ๆทุกปี แม้กระทั่งจบออกมาแล้ว ก็ยังแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ บางครั้งไม่มีเวลาก็จะฝากคำทักทายไปกับคนที่มีจะมีธุระผ่านไปแถวนั้นเมื่อมีโอกาส
มีเรื่องราวมากมายหลายเรื่องที่พี่ๆนักการและพวกฉัน มีประสบการณ์สนุกๆร่วมกันตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ใช้เวลาร่ำเรียนในมหาวิทยาลัย..แม้เรื่องราวส่วนมากจะเกิดในวงเหล้า แต่บางครั้ง มิตรภาพที่งดงามก็งอกเงยจากวงสุราได้เหมือนกัน เหมือนพี่ๆนักการกลุ่มนี้ ที่ฉันให้ความนับถือประหนึ่งญาติสนิทที่สามารถยกมือไหว้ท่วมหัวได้ โดยไม่ใส่ใจถึงสถานภาพอื่นใดทางสังคม แม้บางคนจะดูซอมซ่อมอซอในสายตาคนอื่น แต่โดยเนื้อแท้น้ำใจแล้ว น่าเคารพกราบไหว้มากกว่าหลายคนที่ใส่สูทผูกไทดูภูมิฐานเสียอีก
พี่ๆเหล่านั้น ทุกวันนี้ต่างคนก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปตามเวลา บางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว บางคนก็โยกย้ายกลับไปอยู่ภูมิลำเนาบ้านเกิดตามอายุราชการ บางคนก็ยังทำงานอยู่ที่เดิม เพื่อที่จะเฝ้ามองนักศึกษาที่ผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากันไป รุ่นแล้วรุ่นเล่า จนกว่าจะถึงวันเกษียนอายุ ในใจคงคิดว่า ซักวัน จะได้เจอเพื่อนรุ่นน้องที่แสบซ่าและอาจหาญมาเทียบรุ่นอย่างพวกเราอีกหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันรู้ว่า พวกเราทุกคนจะจดจำกันและกันได้เสมอ

คิดถึงพี่ๆทุกคน
คารวะและอาลัย แด่..ลุงจวบ ผู้ลาลับ

10 May 2007

ผู้หญิงกินเหล้า1: เปิดฝาขวด

อยู่มาจนย่างเข้าหน้าหนาวที่สามสิบกว่าๆ วันดีคืนดีก็มีคนมาถามว่า “แกเริ่มกินเหล้าตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามแบบนี้ เหมือนจะตอบง่ายนะ แต่จะให้ตอบจริงๆก็ยากเอาการ เอาเป็นว่าตั้งแต่โตจนจำความได้ ฉันก็คลุกคลีกับวงเหล้าข้างบ้านมาแต่เล็กแต่น้อยแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีความคิดในหัวแม้แต่นิดเดียวว่าโตขึ้นมาจะได้รับเชื้อสายเผ่าพันธุ์เมรีขี้เมามากับเขาด้วย
อันที่จริงตอนอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิด ฉันก็ไม่ใช่เด็กเรียบร้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเป็นพวกแอบซ่าส์ไง อยู่บ้านเรียบร้อยอย่างกับผ้าขี้ริ้วพับไว้ คือ วางไว้เฉยๆก็พอจะดูได้ แต่เวลาเอาออกมาใช้ถึงจะรู้ว่ามันโคตรยับและกระดำกระด่างเลย ครั้นพอได้เข้ามาเรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพ มันเหมือนนกน้อยบินออกจากกรง(ทอง) อย่างไรอย่างนั้นทีเดียว เหมือนกลับด้านเอาผ้าขี้ริ้วออกมาโบกสะบัดแบบไม่ต้องแอบกันแล้ว ฉันเริ่มคบหาเพื่อนฝูงก๊วนแก๊งที่เป็นสาวเปรี้ยว และได้เจอบรรดาสาวสวยชาวกรุง ที่พอมาเห็นถึงได้รู้ว่า พวกเราที่อยู่บ้านนอกนี่เชยสนิทไปเลย สาวๆที่นี่เขาหัดเที่ยวกลางคืน หัดกินเหล้ามาตั้งแต่ยังไม่อดนมกล่องกับคอนเฟล็กซ์เลยด้วยซ้ำ แล้วกลุ่มที่ฉันสนิทด้วย ก็ให้บังเอิญว่ามีสาวสวยประจำกลุ่ม ซึ่งค่อนข้างจะเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆบรรดานักเรียนนายร้อยต่างๆมากพอควร ไม่นับหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยแถวบ้านอีกหลายคน อีกทั้งเธอยังเปรี้ยวซ่าส์ กินเหล้าสูบบุหรี่ได้เท่มากๆ (ในสายตาฉัน)
วันแรกที่คิดแอบหนีแม่ไปออกเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็ต้องมีการอ้างกันว่าไปค้างบ้านเพื่อนเพื่อทำรายงาน ซึ่งเป็นข้ออ้างยอดฮิตของวัยรุ่นทั้งหลายตามระเบียบ แล้วเราสามคนก็ชวนกันแต่งตัวสวยขึ้นรถเก๋งคันงามที่หนุ่มนักเรียนนายร้อยมารอรับเพื่อนฉันไปผับใหญ่แห่งหนึ่งย่านรัชดาภิเษก
“โอว..แม่เจ้า ทำไมมันมืดขนาดนี้ ควันอะไรทำไมกลิ่นแปลกๆ โห...เค้าใส่เสื้ออะไรกันน่ะ ตัวเล็กจิ๋วเดียวเอง ฯลฯ” โอ๊ย..สารพัดความคิดที่แสนตื่นเต้นเร้าใจวิ่งวนอยู่ในหัว แต่เนื่องจากกลัวว่าจะถูกเพื่อนๆล้อว่าเป็นบ้านนอกไม่เคยออกเที่ยวเลยต้องฟอร์มดีนิ่งไว้ก่อน...แม่สอนไว้
และขอภูมิใจเสนอว่า เหล้าขวดแรกที่กิน ไฮโซมากๆ ไม่ใช่ธรรมดา ด้วยความหน้าใหญ่ใจโตของหนุ่มๆที่อยากอวดสาว ก็ทำให้ควักกระเป๋าเปิดแบล็กเลเบิล (หรือบักย่างดำ ของชาวลาว) เลี้ยงสาวได้ในราคาขวดละประมาณ 2,500 บาท ในสมัยสิบกว่าปีก่อน เปิดเหล้าในผับจะราคาแพงมาก เพราะไม่ใช่ที่ที่ใครๆก็เข้าไปเที่ยวได้หมด ต้องมีเงินพอสมควร ยิ่งเป็นผับในโรงแรมใหญ่ เดินไปกระทบไหล่ดารากันเป็นว่าเล่น ฉันเจอกระทั่งดาราสาวบางคนที่เวลาให้สัมภาษณ์ในโทรทัศน์แสนจะเรียบร้อย ภาพพจน์ดีเป็นนางเอ๊ก นางเอก ออกมาโฆษณาเชิญชวนไม่ให้กินเหล้า สูบบุหรี่ แต่ที่เห็นกับตา คือเจ๊เล่นยืนดูดบุหรี่ท่าสวยพ่นควันปุ๋ยพร้อมกรีดนิ้วกรายจับแก้วเหล้ากระดกเข้าปากเหมือนไม่รู้รส นี่ถ้าบรรดาแฟนคลับของเจ้าหล่อนมาเห็นเข้าคงจะพากันลมจับกันหมดแน่ๆ
เหล้าอร่อยรึงัย..ทำไมถึงกินกันจัง?? เป็นคำถามยอดฮิตมากๆ แต่ถ้าถามความคิดเห็นส่วนตัวของฉัน ขอบอกว่าในอารมณ์แรกที่กิน มันไม่อร่อย ทั้งขม ทั้งเฝื่อน ทั้งเหม็น และทำให้ปวดหัวในตอนตื่นนอนแถมด้วยอาการคลื่นไส้ ไม่มีอะไรดีกับสุขภาพแม้แต่อย่างเดียว แต่บังเอิญที่สุดว่าวันนั้น ฉันไม่มีอาการแสดงว่าเมาแม้แต่นิดเดียว ทำให้เพื่อนๆพากันออกจะทึ่งว่า คอแข็งไม่เบาทั้งๆที่กินเหล้าเป็นครั้งแรก โอว..พระเจ้าจอร์ช ในที่สุดฉันก็ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองเข้าจนได้..ฮ่า ฮ่า การกินเหล้าไม่เมา เป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของสาวๆในแก๊งฉันทีเดียว เพราะพวกเรามีความตั้งใจอยู่ลึกๆเหมือนกันว่า จะทำให้พวกหนุ่มๆชีกอทั้งหลายมันกระเป๋าฉีกให้ได้ จะได้เลิกมาตอแยไปเองโดยไม่เสียน้ำใจ แถมได้กินเหล้าฟรีอีกด้วย...เย้ๆ
คืนวันนั้นเหล้าทั้งขวดหมดไปโดยมีแต่พวกหนุ่มๆที่พากันเมาส่งเสียงโวยวายดังพอสมควร ชนิดที่ว่าถ้าเป็นแถวบ้านนอกคงถูกยิงทิ้งไปแล้ว พวกเราก็เลยตัดสินใจปล่อยให้พวกนั้นวิ่งตามหาเรากันเอาเอง ส่วนพวกเราน่ะเหรอ..ชวนกันโบกแท๊กซี่กลับบ้านสิคะ กลับไปนอนหลับสบายใจเฉิบ กินอิ่มจัง ตังค์อยู่ครบแบบนี้ ใครจะไม่มีความสุขล่ะ ไอ้เรื่องเมาน่ะมันก็เมาบ้าง มึนๆ แต่ขอบอก..รุ่นนี้ไม่มีอ้วกค่ะ..เสียดายของ ที่สำคัญเสียฟอร์มอีกต่างหาก
แต่อะไรสำคัญที่สุดรู้มั้ยจ๊ะ สาวๆทั้งหลาย สิ่งสำคัญที่สุดของการไปกินเหล้ากับพวกมนุษย์เพศตรงข้ามที่เป็นอันตรายกับพวกเราก็คือ อย่าเมาจนหลุด คุมสติไม่ได้ จะโดนหิ้วไปไหนก็ไม่รู้..อย่าเชียวนะ ใครจะว่าเราเก๊ก เรากินน้อย คออ่อนเหลือเกิน มากินเหล้าก็ต้องเมาสิ ฯลฯ แล้วมาคะยั้นคะยอให้กิน หลอกล่อให้ชนแก้ว แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าเราไม่แน่จริง คอไม่แข็งพอ ก็อย่าไปฟัง อย่าไปหวั่นไหวเชียวนะ เอาแค่จิบๆก็พอค่ะ โดนตื๊อมากๆก็แอบเททิ้งมันไปบ้างก็ได้ ไม่งั้นจะหาว่าเจ๊ไม่เตือน..ตื่นเช้ามา ไม่เขาก็เรา คงมีซักคนนอนซุกคลุมโปงร้องไห้ฮือๆอยู่ในผ้าห่ม อีกคนยืนสูบบุหรี่พ่นควันปุ๋ยอยู่ที่หน้าต่าง แล้วหันมามองที่เตียงด้วยหางตาแน่ๆ..
สุดท้าย คนที่จะเสียใจว่าไม่ควรเปรี้ยวออกไปกินเหล้าเลย นอกจากตัวเราเองแล้วยังมีพ่อแม่พี่น้องเราอีกมากมายหลายคนเลยนะ ที่จะเสียใจไปกับเราด้วย เพราะฉะนั้น จำไว้..คิดจะเปรี้ยว ก็อย่าให้ต้องเสีย(ว) สาวนะจ๊ะ..ดูแลตัวเองให้ดีๆ รักสนุก แต่อย่าทุกข์ถนัด เก็บความคึกไว้ให้ตัวเองได้ใช้ไปนานๆดีกว่า..

ด้วยรักและห่วงใย

ตะลุยป่า..ตามล่าหาป่องปง

มีคนชอบถามว่า ขยันเดินทางไปโน่นมานี่บ่อยๆ ไม่เห็นมีอะไรมาฝากกันบ้างเลย จะอธิบายอย่างไรดีว่า ที่ที่ไปแต่ละที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแบบที่ใครๆไปกัน มองซ้ายมองขวามีแต่ป่ากับป่า หรือไม่ก็ทะเลที่อยู่นอกเขตท่องเที่ยว มีแต่หาดทรายดำๆกับน้ำขุ่นๆ แลไม่เห็นนักท่องเที่ยวแม้แต่คนเดียว
ฉันไม่ใช่นักท่องเที่ยว พอๆกับที่ไม่ใด้เป็นนักเดินทางอย่างที่อยากจะเป็น เพราะไม่เคยมีเวลามากพอขนาดนั้น การเดินทางไปไหนแต่ละครั้งมักจะถูกพ่วงงานติดไปด้วยอย่างน้อยหนึ่งชิ้นเสมอ แต่ก็ไม่เคยเบื่อ เพราะทุกครั้งจะมีเหตุการณ์หลายหลากเกิดขึ้นหมุนเวียนกันให้ได้นำมาจดไว้ในความทรงจำ และส่วนมากสิ่งที่ทำให้ประทับใจ ก็จะไม่ใช่ความสวยงามของสถานที่ที่ไป แต่มักจะเป็นบุคคลต่างๆที่มีเรื่องราวในชีวิตที่น่าสนใจ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น จะกลายเป็นตัวแทนภาพของสถานที่นั้นๆทุกครั้งเวลาที่นึกถึงมากกว่าภาพพระอาทิตย์ตกดินหรือภาพทิวทัศน์งามๆ
กาญจนบุรี เป็นจังหวัดที่ฉันมีโอกาสได้ไปเยือนบ่อยที่สุด เมื่อสงกรานต์ที่แล้ว ฉันฉลองวันหยุดโดยการไปเที่ยวที่หมู่บ้านกองม่องทะ หมู่บ้านกะเหรี่ยงเก่าแก่ชายขอบทุ่งใหญ่นเรศวร ในอาณาเขตของผืนป่าตะวันตก ป่าใหญ่ผืนสุดท้ายทางตะวันตกของประเทศ ที่มีอาณาเขตเชื่อมต่อกันถึง 6 จังหวัด มีพื้นที่กว่า 11.7 ล้านไร่ ประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า รวม 17 แห่ง และมีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชพันธุ์และสัตว์ป่าสูงมากจนมีการประกาศให้เป็นมรดกโลกถึง 2 พื้นที่คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และทุ่งใหญ่นเรศวร
กองม่องทะ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงขนาดประมาณ 90 หลังคาเรือน มีประชากรประมาณ 200 คน นับเป็นหมู่บ้านที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดจากถนนสายหลักที่มุ่งตรงเข้าสู่ตัวอำเภอสังขละบุรี ชาวกะเหรี่ยงที่นี่ยังคงสามารถรักษาวิถีชีวิตเดิมๆไว้ได้มากพอควร ยังคงมีสาวกะเหรี่ยงนุ่งชุดขาว หรือชุด “เชวา” ให้เห็นอยู่ ไม่เหมือนบางพื้นที่ที่หันไปอีกทีสาวกะเหรี่ยงก็เริ่มใส่เสื้อผ้าวัยรุ่นนุ่งกางเกงยีนส์ขายาวแบบสาวกรุงกันแล้ว แม้ว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้าโซล่า เซลล์ จะมีเข้ามา แต่ไม่ใช่ว่าทุกบ้านจะพร้อมใจกันหาซื้อโทรทัศน์และเครื่องเล่นวีซีดีมาใช้ เพราะความสมถะและความรักสันโดษ ยังคงเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวของชนชาวกะเหรี่ยงอยู่เสมอ
ฉันและเพื่อนอีกสามคน ไปจนถึงทางเข้าหมู่บ้านกองม่องทะ ด้วยการเดินแบกเป้ลุยทางดินแดงเข้าไปกว่ากิโล จึงโบกได้รถกระบะของพี่ชายใจดีที่บึ่งตะลุยฝุ่นมาแวะรับพวกเราเข้าไปส่งที่หน้าหมู่บ้าน เราเดินทะลุดงไม้เข้าไปเล็กน้อย ก็ถึงบ้านของพี่บุญชู อดีตพรานมือดีของกองม่องทะ ที่ปัจจุบันหันมาทำงานอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตกร่วมกับองค์กรเอกชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายแห่ง พี่บุญชูอายุ 42 ปี มีเมียสาวสวย 1 คนและลูกๆอีกหลายคน อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันในบ้านใต้ถุนสูง มีห้องนอนห้องเดียว ครัวอยู่ด้านหลังบ้าน ใช้หุงหาอาหาร ชงน้ำชาและอื่นๆ
เราถึงบ้านพี่บุญชูประมาณใกล้เที่ยง ทำให้มีเวลาเพียง 30 นาทีในการเตรียมตัวแบ่งเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นลงกระเป๋าใบเล็ก พี่บุญชูเตรียมเสื้อผ้า และอาหารบางส่วนใส่ลงใน “กือ”หรือ กระบุง ซึ่งเป็นของใช้ประจำวันที่เราพบเห็นได้ทั่วไปในกลุ่มชาวเขา ทำมาจากไม้ไผ่ที่มีความแข็งแรงและหนา จับสานแบบละเอียดมีความคงทนสามารถใช้ได้นาน สมัยก่อนใช้เก็บเสื้อผ้า หรือเก็บเมล็ดข้าวและเมล็ดข้าวโพด เพราะมีความถี่มาก ไม่รั่ว ทำให้สามารถเก็บวัสดุต่างๆได้หลายชนิด และเวลาไปไร่ไปสวนจะใช้แบกพืชผักกลับบ้าน จะเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์เอนกประสงค์ของชาวกะเหรี่ยงเลยก็ว่าได้
พี่บุญชูสะพายกือ พร้อมสวมแตะดาวเทียมคู่ชีพพาพวกเราออกเดินทางไปทางเหนือของหมู่บ้าน ผ่านสวนขนุน สวนกล้วย ฝ่าดงแดดในไร่ซากที่เพิ่งผ่านการเผา ถึงตรงนี้เล่นเอาพวกเราแทบลมจับด้วยความร้อน เปลวแดดบ่ายบวกกับความระอุของไร่ซากที่เพิ่งผ่านการเผามาหมาดๆ ทำเอาเราต้องราดน้ำบนผ้าเช็ดหน้าเอามาคลุมหน้าไว้ตลอดทาง พี่บุญชูบอกพวกเราก่อนออกเดินทางมาว่า ต้องเดินผ่าน 12 ห้วยถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทางของเราที่พี่บุญชูชวนเข้าไปเที่ยว คือ “น้ำตกป่องปง” น้ำตกที่พี่บุญชูและชาวบ้านกองม่องทะเพิ่งค้นพบได้ไม่นาน แต่นี่เดินมาเกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีวี่แววลำห้วยให้เห็นแม้แต่น้อย
ในขณะที่ฉันกำลังเริ่มจินตนาการว่าตัวเองกลายเป็น ม.ร.ว.หญิงดาริน วรฤทธิ์แห่งเพชรพระอุมา ตอนที่กำลังจะตายเพราะอากาศที่ร้อนตับแตกและอดน้ำในป่าแฝกที่แสนหฤโหด อยู่ดีๆ ก็มาโผล่ออกที่ริมลำห้วยขนาดใหญ่ น้ำสูงเกินหัวเข่าสาวกะเหรี่ยงที่กำลังเดินข้ามสวนมา “ห้วยแรกและ” เสียงพี่บุญชูร้องบอก เอาเถอะนะ..ข้ามน้ำแบบนี้ก็เย็นดี ดีกว่าเดินฝ่าแดดเปรี้ยงๆแบบที่ผ่านมา พวกเราคิดในใจ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า ห้วยต่อๆมาของพี่บุญชูจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ น้ำแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงห้วยที่เก้า (จากการคาดคะเนของพวกเรา) หนึ่งสาวในคณะของเราก็ได้เปียกทั้งตัว เกือบจมน้ำหายไป ดีที่ว่าคว้าไว้ได้ทัน
พวกเราเดินมาสามชั่วโมงครึ่ง แวะทักทายหมู่บ้านระหว่างทางอีก 2 แห่ง ก็มาถึงดงหญ้าสูงท่วมหัว ที่มีรอยเท้าสัตว์ประเภทกีบย่ำเป็นเทือกไปหมด ทำเอาพวกเราขนลุก เพราะกลัวว่าจะต้องเจอกับฝูงกระทิงหรืออะไรสักอย่างที่รออยู่นอกดงหญ้า พี่ที่มาด้วยบอกว่า ให้พนันกัน 100 เอา 10 เลย ว่าเป็นวัว..ฉันก็เถียงว่า วัวบ้าอะไรจะมาอยู่ในป่าลึกขนาดนี้...แต่ในนาทีต่อมา ที่เราพ้นจากดงหญ้า พวกเราก็ได้ปะทะกองทัพวัวกว่า 50 ตัว เป็นวัวบ้านจริงๆที่ชาวกะเหรี่ยงเลี้ยงไว้
บุกป่าฝ่าดงกันมาขนาดนี้ อย่างน้อยขอให้ได้เห็นเจ้าป่องปง..น้ำตกที่แทบไม่เคยมีใครเข้าไปถึงให้เป็นบุญตาสักหน่อย
ทางข้างหน้าเป็นป่าไผ่ที่ไม่มีเส้นทางเดินเท้าชัดเจน เพราะปกติไม่มีใครเข้ามาที่นี่บ่อยนัก เว้นแต่ตัวพี่บุญชูกับคนในหมู่บ้านที่เข้ามาหาของป่าเป็นครั้งคราว ขนาดพี่บุญชูเองยังต้องหยุดคิดและนึกเส้นทางอยู่เป็นระยะๆ เราพบรอยกองไฟสองสามกองระหว่างทาง ซึ่งพี่บุญชูบอกว่า เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนิทสนมกัน ก็วานให้แกพามาที่ป่องปงนี่เหมือนกัน แต่ต้องพักแรมกลางทางที่นี่ 1 คืน แล้วพวกเราจะพักที่นี่ไหม หรือจะไปให้ใกล้ที่สุด..พวกเราเลือกอย่างหลังแล้วกลั้นใจเดินข้ามห้วยที่สิบเอ็ดตามหลังพี่บุญชูไปติดๆ
ยิ่งฉันเดินไปไกลมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งค้นพบว่า การเดินป่าไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด เราเองก็ทำได้ แม้แต่ช่วงที่ต้องไต่บนขอบเหวที่มองลงไปเห็นน้ำตกกระแทกหิน หมุนวนเป็นแอ่งน้ำจากุชชี่อยู่เบื้องล่าง ไม่มีอะไรให้เกาะยึด นอกจากรากไผ่ป่าที่โผล่พ้นดินมาคืบเดียว
ตอนที่ฉันลื่นไถลลงมาจากขอบผาชันนั้น พี่ที่อยู่ด้านล่างช่วยคว้าข้อเท้าไว้ และพี่บุญชูก็เพียงแค่หันมามอง พร้อมส่งมือที่พยุงกือข้างหนึ่งมาให้แล้วถามว่า “กลัวดั้วะเหรอ..เบาะและก้อไม่เชื่อว่าอย่ะมา อย่ะมา” (แปลไทยชัดๆว่า -กลัวด้วยเหรอ บอกแล้วก็ไม่เชื่อว่าอย่ามา อย่ามา) ประโยคนี้ เป็นประโยควัดใจกันเลยทีเดียว ฉันคว้ามือพี่บุญชูไว้ ดึงตัวเองขึ้นจากขอบผา แล้วกัดฟันตอบว่า “ก็แค่มันลื่น ไม่ได้กลัวซักหน่อย” ...แล้วกลั้นใจอย่างหนักก่อนที่จะเริ่มไต่แบบตีนตุ๊กแกเลียบเขาที่มีที่ให้เหยียบเดินแคบกว่าทางเดินเลียงผาเสียอีก แต่คำพูดซื่อๆเพียงประโยคเดียวของพี่บุญชู ทำให้คนกลัวความสูงที่กำลังขาสั่นอย่างฉัน มีพลังที่จะข้ามผ่านจุดนั้นไปได้ด้วยตัวเอง และฉันยังอดสงสัยไม่ได้ว่า แตะดาวเทียมคู่นั้น ทำไมถึงไม่ลื่นไม่ไถล ยังคงเดินเร่งไปข้างหน้าด้วยอัตราคงที่ ไม่เหนื่อย ไม่พัก แม้กือที่คล้องศีรษะอยู่จะมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัมจากการคาดคะเนของฉัน
เรามาถึงจุดพักแรมประมาณ 6 โมงเย็น พี่บุญชูช่วยกางเต๊นท์ ทำเพิงกันน้ำค้างที่เลียบลำห้วยฝั่งตรงข้ามถ้ำเล็กๆ
คืนนั้น ฉันหลับสนิทด้วยความเหน็ดเหนื่อย แม้จะนอนในเต๊นท์ที่ข้างใต้เป็นหินตะปุ่มตะป่ำ ไม่มีผ้ารอง และอากาศด้านนอกเย็นชื้น หนาวเหน็บจนแทบหายใจไม่ออกก็ตาม แต่มองไปก็เห็นพี่บุญชูที่นั่งก่อไฟกองใหญ่อยู่ด้านนอกให้อุ่นใจเสมอ พวกเราตื่นแต่เช้าตรู่พร้อมกับความชื้นแฉะของเสื้อผ้าและอากาศ เราถูกพี่บุญชูเร่งให้รีบกินข้าว แล้วบอกว่าต้องเดินอีกประมาณ 2 ชั่วโมงจะถึงน้ำตก ต้องรีบออกเดินทางก่อนฝนจะตก พวกเรารีบจัดการอาหารเช้าแบบง่ายๆ คือกับข้าวเหลือจากเมื่อคืน กาแฟสำเร็จรูป เปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่ชุดเปียกของเมื่อวาน แล้วก้าวตามพี่บุญชูที่หายลับเข้าไปในดงป่าเบื้องหน้า ทำเอาเราต้องจ้ำสาวรอยเท้าพี่บุญชูเข้าไปอย่างกระชั้นชิด เพราะป่าบริเวณนี้เป็นป่าดิบ ไม่มีร่องรอยทางเดินอะไรปรากฎให้เห็นเลย พี่บุญชูพาเราลุยห้วยสวนลำธารขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งพี่แกบอกว่าเป็นน้ำจากน้ำตกป่องปงนั่นแหละ พวกเราเลยใจชื้นว่าอีกไม่ไกลคงถึงเสียที
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าของพวกเรา เป็นน้ำตกขนาดไม่ใหญ่นัก มีสายน้ำไหลลงจากผาหินเรียบลื่นที่อุดมไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว มีโขดหินกั้นกระแสน้ำด้านบนเป็นระยะๆ สายน้ำกระโจนลงในแอ่งเบื้องล่างที่เหมือนสระว่ายน้ำแบบวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เมตร ทำเอาฉันถอนใจเฮือกใหญ่..เท่านี้เองนะหรือป่องปง น้ำตกธรรมดาๆที่เทียบไม่ได้กับน้ำตกเอราวัณหรือห้วยแม่ขมิ้น ไม่งาม ไม่ใส ไม่อลังการใหญ่โตและทำเอาฉันเกือบตาย แต่พวกเราก็ดั้นด้นมาจนเจอ
.............................................................................................................................................
เวลามีใครถามว่า น้ำตกนี้สวยคุ้มค่ากับที่ฝ่าฟันไปแทบเป็นแทบตายไหม ฉันตอบได้ทันทีเลยว่า..ไม่... ที่สวยงามคือ ป่าผืนใหญ่ที่เราล่วงเข้ามา มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้ามาเยือนโลกยุคดึกดำบรรพ์และใช้ชีวิตเหมือนคนป่าโบราณ ได้รับอากาศบริสุทธิ์ ได้ลงเล่นในลำธารสะอาดใส และได้เห็นหลากสีสันของพันธุ์ไม้นานาชนิดที่แข่งขันประชันความงามในราวป่า
เส้นทางไปป่องปงต่างหากที่คุ้มค่า คนที่นำพาเราเข้าไปต่างหากที่ควรระลึกถึง พี่บุญชูพรานกะเหรี่ยงที่จะไม่มีวันยื่นมือมาช่วยฉุดดึงพวกเราถ้าไม่จำเป็น เพราะรู้ว่า คนเราทำได้ทุกอย่างถ้าไม่ขลาดกลัว เพียงแค่ขอให้พวกเรามีสติและกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง สิ่งสำคัญที่ฉันได้รับจากการเดินทางในครั้งนี้ ก็คือ การเอาชนะตัวเอง เอาชนะความกลัว และความอ่อนแอ
เส้นทางไปตามหาป่องปง เหมือนชีวิตคนเราทุกคนที่ต่างต้องมีจุดหมายที่ตั้งใจไว้ ที่จะไปให้ถึง แม้ว่าทุกย่างก้าวที่กำลังจะล้มลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย และเต็มไปด้วยความรันทดท้อ แต่ต้องกัดฟันเดินต่อไปเพราะ ถ้ากลัวความสูง กลัวกระแสน้ำ จะไม่ได้ข้ามพ้นไปจนบรรลุถึงสิ่งที่ตั้งใจ ถ้าหยุดเดินก็จะทำให้ไปไม่ถึงจุดหมาย กำลังใจเป็นสิ่งที่เราสร้างได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาสร้างให้ ถ้าเจอสิ่งที่ทำให้เราสะดุดล้ม ควรรีบลุกขึ้นใหม่ บอกตัวเองให้ได้เหมือนวันนั้นว่า …“ก็แค่มันลื่น ไม่ได้กลัวซักหน่อย”

9 May 2007

กว่าจะเป็นผีเสื้อ...

ก่อนจะเป็นผีเสื้อ..ต้องเรียนรู้ว่าการเป็นหนอนแสนจะยากลำบากขนาดไหน

กว่าจะเอาตัวรอดจากการเป็นอาหารของสัตว์อื่น

กว่าจะเรียนรู้ที่จะเป็นดักแด้

กว่าจะเรียนรู้ที่จะทนโดดเดี่ยวเพียงลำพังในใยหุ้ม

กว่าจะเรียนรู้ที่จะผ่านบทเรียนของการรอคอยที่ทรมาน

กว่าจะผ่านความเจ็บปวดของการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อจะเติบโตเป็นผีเสื้อแสนสวย

.................................................

เมื่อเลือกที่จะเป็นผีเสื้อ

ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของตนเอง และยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างเต็มใจ

ใช้ความอดทน อดกลั้น รอคอยอย่างสงบนิ่ง..เยือกเย็น

ทนกัดฟันผ่านความเจ็บปวดและน้อมรับบาดแผลของการเติบโต

ในที่สุด..เราก็จะกลายร่างเป็นผีเสื้อแสนสวย

ที่จะโบกบินไปได้อย่างเสรี และเรียนรู้ที่จะรักตัวเองได้มากกว่าที่ผ่านมา

Soul of the World

...The Soul of the World is nourished by people's happiness. And also by unhappiness, envy, and jealousy. To realize one's Personal Legend is a person's only real obligation. All things are one. And when you want something, all the universe conspires in helping you to achieve it.

---THE ALCHEMIST by Paulo Coelho