10 May 2007

ผู้หญิงกินเหล้า1: เปิดฝาขวด

อยู่มาจนย่างเข้าหน้าหนาวที่สามสิบกว่าๆ วันดีคืนดีก็มีคนมาถามว่า “แกเริ่มกินเหล้าตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามแบบนี้ เหมือนจะตอบง่ายนะ แต่จะให้ตอบจริงๆก็ยากเอาการ เอาเป็นว่าตั้งแต่โตจนจำความได้ ฉันก็คลุกคลีกับวงเหล้าข้างบ้านมาแต่เล็กแต่น้อยแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีความคิดในหัวแม้แต่นิดเดียวว่าโตขึ้นมาจะได้รับเชื้อสายเผ่าพันธุ์เมรีขี้เมามากับเขาด้วย
อันที่จริงตอนอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิด ฉันก็ไม่ใช่เด็กเรียบร้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเป็นพวกแอบซ่าส์ไง อยู่บ้านเรียบร้อยอย่างกับผ้าขี้ริ้วพับไว้ คือ วางไว้เฉยๆก็พอจะดูได้ แต่เวลาเอาออกมาใช้ถึงจะรู้ว่ามันโคตรยับและกระดำกระด่างเลย ครั้นพอได้เข้ามาเรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพ มันเหมือนนกน้อยบินออกจากกรง(ทอง) อย่างไรอย่างนั้นทีเดียว เหมือนกลับด้านเอาผ้าขี้ริ้วออกมาโบกสะบัดแบบไม่ต้องแอบกันแล้ว ฉันเริ่มคบหาเพื่อนฝูงก๊วนแก๊งที่เป็นสาวเปรี้ยว และได้เจอบรรดาสาวสวยชาวกรุง ที่พอมาเห็นถึงได้รู้ว่า พวกเราที่อยู่บ้านนอกนี่เชยสนิทไปเลย สาวๆที่นี่เขาหัดเที่ยวกลางคืน หัดกินเหล้ามาตั้งแต่ยังไม่อดนมกล่องกับคอนเฟล็กซ์เลยด้วยซ้ำ แล้วกลุ่มที่ฉันสนิทด้วย ก็ให้บังเอิญว่ามีสาวสวยประจำกลุ่ม ซึ่งค่อนข้างจะเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆบรรดานักเรียนนายร้อยต่างๆมากพอควร ไม่นับหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยแถวบ้านอีกหลายคน อีกทั้งเธอยังเปรี้ยวซ่าส์ กินเหล้าสูบบุหรี่ได้เท่มากๆ (ในสายตาฉัน)
วันแรกที่คิดแอบหนีแม่ไปออกเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็ต้องมีการอ้างกันว่าไปค้างบ้านเพื่อนเพื่อทำรายงาน ซึ่งเป็นข้ออ้างยอดฮิตของวัยรุ่นทั้งหลายตามระเบียบ แล้วเราสามคนก็ชวนกันแต่งตัวสวยขึ้นรถเก๋งคันงามที่หนุ่มนักเรียนนายร้อยมารอรับเพื่อนฉันไปผับใหญ่แห่งหนึ่งย่านรัชดาภิเษก
“โอว..แม่เจ้า ทำไมมันมืดขนาดนี้ ควันอะไรทำไมกลิ่นแปลกๆ โห...เค้าใส่เสื้ออะไรกันน่ะ ตัวเล็กจิ๋วเดียวเอง ฯลฯ” โอ๊ย..สารพัดความคิดที่แสนตื่นเต้นเร้าใจวิ่งวนอยู่ในหัว แต่เนื่องจากกลัวว่าจะถูกเพื่อนๆล้อว่าเป็นบ้านนอกไม่เคยออกเที่ยวเลยต้องฟอร์มดีนิ่งไว้ก่อน...แม่สอนไว้
และขอภูมิใจเสนอว่า เหล้าขวดแรกที่กิน ไฮโซมากๆ ไม่ใช่ธรรมดา ด้วยความหน้าใหญ่ใจโตของหนุ่มๆที่อยากอวดสาว ก็ทำให้ควักกระเป๋าเปิดแบล็กเลเบิล (หรือบักย่างดำ ของชาวลาว) เลี้ยงสาวได้ในราคาขวดละประมาณ 2,500 บาท ในสมัยสิบกว่าปีก่อน เปิดเหล้าในผับจะราคาแพงมาก เพราะไม่ใช่ที่ที่ใครๆก็เข้าไปเที่ยวได้หมด ต้องมีเงินพอสมควร ยิ่งเป็นผับในโรงแรมใหญ่ เดินไปกระทบไหล่ดารากันเป็นว่าเล่น ฉันเจอกระทั่งดาราสาวบางคนที่เวลาให้สัมภาษณ์ในโทรทัศน์แสนจะเรียบร้อย ภาพพจน์ดีเป็นนางเอ๊ก นางเอก ออกมาโฆษณาเชิญชวนไม่ให้กินเหล้า สูบบุหรี่ แต่ที่เห็นกับตา คือเจ๊เล่นยืนดูดบุหรี่ท่าสวยพ่นควันปุ๋ยพร้อมกรีดนิ้วกรายจับแก้วเหล้ากระดกเข้าปากเหมือนไม่รู้รส นี่ถ้าบรรดาแฟนคลับของเจ้าหล่อนมาเห็นเข้าคงจะพากันลมจับกันหมดแน่ๆ
เหล้าอร่อยรึงัย..ทำไมถึงกินกันจัง?? เป็นคำถามยอดฮิตมากๆ แต่ถ้าถามความคิดเห็นส่วนตัวของฉัน ขอบอกว่าในอารมณ์แรกที่กิน มันไม่อร่อย ทั้งขม ทั้งเฝื่อน ทั้งเหม็น และทำให้ปวดหัวในตอนตื่นนอนแถมด้วยอาการคลื่นไส้ ไม่มีอะไรดีกับสุขภาพแม้แต่อย่างเดียว แต่บังเอิญที่สุดว่าวันนั้น ฉันไม่มีอาการแสดงว่าเมาแม้แต่นิดเดียว ทำให้เพื่อนๆพากันออกจะทึ่งว่า คอแข็งไม่เบาทั้งๆที่กินเหล้าเป็นครั้งแรก โอว..พระเจ้าจอร์ช ในที่สุดฉันก็ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองเข้าจนได้..ฮ่า ฮ่า การกินเหล้าไม่เมา เป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของสาวๆในแก๊งฉันทีเดียว เพราะพวกเรามีความตั้งใจอยู่ลึกๆเหมือนกันว่า จะทำให้พวกหนุ่มๆชีกอทั้งหลายมันกระเป๋าฉีกให้ได้ จะได้เลิกมาตอแยไปเองโดยไม่เสียน้ำใจ แถมได้กินเหล้าฟรีอีกด้วย...เย้ๆ
คืนวันนั้นเหล้าทั้งขวดหมดไปโดยมีแต่พวกหนุ่มๆที่พากันเมาส่งเสียงโวยวายดังพอสมควร ชนิดที่ว่าถ้าเป็นแถวบ้านนอกคงถูกยิงทิ้งไปแล้ว พวกเราก็เลยตัดสินใจปล่อยให้พวกนั้นวิ่งตามหาเรากันเอาเอง ส่วนพวกเราน่ะเหรอ..ชวนกันโบกแท๊กซี่กลับบ้านสิคะ กลับไปนอนหลับสบายใจเฉิบ กินอิ่มจัง ตังค์อยู่ครบแบบนี้ ใครจะไม่มีความสุขล่ะ ไอ้เรื่องเมาน่ะมันก็เมาบ้าง มึนๆ แต่ขอบอก..รุ่นนี้ไม่มีอ้วกค่ะ..เสียดายของ ที่สำคัญเสียฟอร์มอีกต่างหาก
แต่อะไรสำคัญที่สุดรู้มั้ยจ๊ะ สาวๆทั้งหลาย สิ่งสำคัญที่สุดของการไปกินเหล้ากับพวกมนุษย์เพศตรงข้ามที่เป็นอันตรายกับพวกเราก็คือ อย่าเมาจนหลุด คุมสติไม่ได้ จะโดนหิ้วไปไหนก็ไม่รู้..อย่าเชียวนะ ใครจะว่าเราเก๊ก เรากินน้อย คออ่อนเหลือเกิน มากินเหล้าก็ต้องเมาสิ ฯลฯ แล้วมาคะยั้นคะยอให้กิน หลอกล่อให้ชนแก้ว แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าเราไม่แน่จริง คอไม่แข็งพอ ก็อย่าไปฟัง อย่าไปหวั่นไหวเชียวนะ เอาแค่จิบๆก็พอค่ะ โดนตื๊อมากๆก็แอบเททิ้งมันไปบ้างก็ได้ ไม่งั้นจะหาว่าเจ๊ไม่เตือน..ตื่นเช้ามา ไม่เขาก็เรา คงมีซักคนนอนซุกคลุมโปงร้องไห้ฮือๆอยู่ในผ้าห่ม อีกคนยืนสูบบุหรี่พ่นควันปุ๋ยอยู่ที่หน้าต่าง แล้วหันมามองที่เตียงด้วยหางตาแน่ๆ..
สุดท้าย คนที่จะเสียใจว่าไม่ควรเปรี้ยวออกไปกินเหล้าเลย นอกจากตัวเราเองแล้วยังมีพ่อแม่พี่น้องเราอีกมากมายหลายคนเลยนะ ที่จะเสียใจไปกับเราด้วย เพราะฉะนั้น จำไว้..คิดจะเปรี้ยว ก็อย่าให้ต้องเสีย(ว) สาวนะจ๊ะ..ดูแลตัวเองให้ดีๆ รักสนุก แต่อย่าทุกข์ถนัด เก็บความคึกไว้ให้ตัวเองได้ใช้ไปนานๆดีกว่า..

ด้วยรักและห่วงใย

ตะลุยป่า..ตามล่าหาป่องปง

มีคนชอบถามว่า ขยันเดินทางไปโน่นมานี่บ่อยๆ ไม่เห็นมีอะไรมาฝากกันบ้างเลย จะอธิบายอย่างไรดีว่า ที่ที่ไปแต่ละที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแบบที่ใครๆไปกัน มองซ้ายมองขวามีแต่ป่ากับป่า หรือไม่ก็ทะเลที่อยู่นอกเขตท่องเที่ยว มีแต่หาดทรายดำๆกับน้ำขุ่นๆ แลไม่เห็นนักท่องเที่ยวแม้แต่คนเดียว
ฉันไม่ใช่นักท่องเที่ยว พอๆกับที่ไม่ใด้เป็นนักเดินทางอย่างที่อยากจะเป็น เพราะไม่เคยมีเวลามากพอขนาดนั้น การเดินทางไปไหนแต่ละครั้งมักจะถูกพ่วงงานติดไปด้วยอย่างน้อยหนึ่งชิ้นเสมอ แต่ก็ไม่เคยเบื่อ เพราะทุกครั้งจะมีเหตุการณ์หลายหลากเกิดขึ้นหมุนเวียนกันให้ได้นำมาจดไว้ในความทรงจำ และส่วนมากสิ่งที่ทำให้ประทับใจ ก็จะไม่ใช่ความสวยงามของสถานที่ที่ไป แต่มักจะเป็นบุคคลต่างๆที่มีเรื่องราวในชีวิตที่น่าสนใจ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น จะกลายเป็นตัวแทนภาพของสถานที่นั้นๆทุกครั้งเวลาที่นึกถึงมากกว่าภาพพระอาทิตย์ตกดินหรือภาพทิวทัศน์งามๆ
กาญจนบุรี เป็นจังหวัดที่ฉันมีโอกาสได้ไปเยือนบ่อยที่สุด เมื่อสงกรานต์ที่แล้ว ฉันฉลองวันหยุดโดยการไปเที่ยวที่หมู่บ้านกองม่องทะ หมู่บ้านกะเหรี่ยงเก่าแก่ชายขอบทุ่งใหญ่นเรศวร ในอาณาเขตของผืนป่าตะวันตก ป่าใหญ่ผืนสุดท้ายทางตะวันตกของประเทศ ที่มีอาณาเขตเชื่อมต่อกันถึง 6 จังหวัด มีพื้นที่กว่า 11.7 ล้านไร่ ประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า รวม 17 แห่ง และมีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชพันธุ์และสัตว์ป่าสูงมากจนมีการประกาศให้เป็นมรดกโลกถึง 2 พื้นที่คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และทุ่งใหญ่นเรศวร
กองม่องทะ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงขนาดประมาณ 90 หลังคาเรือน มีประชากรประมาณ 200 คน นับเป็นหมู่บ้านที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดจากถนนสายหลักที่มุ่งตรงเข้าสู่ตัวอำเภอสังขละบุรี ชาวกะเหรี่ยงที่นี่ยังคงสามารถรักษาวิถีชีวิตเดิมๆไว้ได้มากพอควร ยังคงมีสาวกะเหรี่ยงนุ่งชุดขาว หรือชุด “เชวา” ให้เห็นอยู่ ไม่เหมือนบางพื้นที่ที่หันไปอีกทีสาวกะเหรี่ยงก็เริ่มใส่เสื้อผ้าวัยรุ่นนุ่งกางเกงยีนส์ขายาวแบบสาวกรุงกันแล้ว แม้ว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้าโซล่า เซลล์ จะมีเข้ามา แต่ไม่ใช่ว่าทุกบ้านจะพร้อมใจกันหาซื้อโทรทัศน์และเครื่องเล่นวีซีดีมาใช้ เพราะความสมถะและความรักสันโดษ ยังคงเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวของชนชาวกะเหรี่ยงอยู่เสมอ
ฉันและเพื่อนอีกสามคน ไปจนถึงทางเข้าหมู่บ้านกองม่องทะ ด้วยการเดินแบกเป้ลุยทางดินแดงเข้าไปกว่ากิโล จึงโบกได้รถกระบะของพี่ชายใจดีที่บึ่งตะลุยฝุ่นมาแวะรับพวกเราเข้าไปส่งที่หน้าหมู่บ้าน เราเดินทะลุดงไม้เข้าไปเล็กน้อย ก็ถึงบ้านของพี่บุญชู อดีตพรานมือดีของกองม่องทะ ที่ปัจจุบันหันมาทำงานอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตกร่วมกับองค์กรเอกชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายแห่ง พี่บุญชูอายุ 42 ปี มีเมียสาวสวย 1 คนและลูกๆอีกหลายคน อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันในบ้านใต้ถุนสูง มีห้องนอนห้องเดียว ครัวอยู่ด้านหลังบ้าน ใช้หุงหาอาหาร ชงน้ำชาและอื่นๆ
เราถึงบ้านพี่บุญชูประมาณใกล้เที่ยง ทำให้มีเวลาเพียง 30 นาทีในการเตรียมตัวแบ่งเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นลงกระเป๋าใบเล็ก พี่บุญชูเตรียมเสื้อผ้า และอาหารบางส่วนใส่ลงใน “กือ”หรือ กระบุง ซึ่งเป็นของใช้ประจำวันที่เราพบเห็นได้ทั่วไปในกลุ่มชาวเขา ทำมาจากไม้ไผ่ที่มีความแข็งแรงและหนา จับสานแบบละเอียดมีความคงทนสามารถใช้ได้นาน สมัยก่อนใช้เก็บเสื้อผ้า หรือเก็บเมล็ดข้าวและเมล็ดข้าวโพด เพราะมีความถี่มาก ไม่รั่ว ทำให้สามารถเก็บวัสดุต่างๆได้หลายชนิด และเวลาไปไร่ไปสวนจะใช้แบกพืชผักกลับบ้าน จะเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์เอนกประสงค์ของชาวกะเหรี่ยงเลยก็ว่าได้
พี่บุญชูสะพายกือ พร้อมสวมแตะดาวเทียมคู่ชีพพาพวกเราออกเดินทางไปทางเหนือของหมู่บ้าน ผ่านสวนขนุน สวนกล้วย ฝ่าดงแดดในไร่ซากที่เพิ่งผ่านการเผา ถึงตรงนี้เล่นเอาพวกเราแทบลมจับด้วยความร้อน เปลวแดดบ่ายบวกกับความระอุของไร่ซากที่เพิ่งผ่านการเผามาหมาดๆ ทำเอาเราต้องราดน้ำบนผ้าเช็ดหน้าเอามาคลุมหน้าไว้ตลอดทาง พี่บุญชูบอกพวกเราก่อนออกเดินทางมาว่า ต้องเดินผ่าน 12 ห้วยถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทางของเราที่พี่บุญชูชวนเข้าไปเที่ยว คือ “น้ำตกป่องปง” น้ำตกที่พี่บุญชูและชาวบ้านกองม่องทะเพิ่งค้นพบได้ไม่นาน แต่นี่เดินมาเกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีวี่แววลำห้วยให้เห็นแม้แต่น้อย
ในขณะที่ฉันกำลังเริ่มจินตนาการว่าตัวเองกลายเป็น ม.ร.ว.หญิงดาริน วรฤทธิ์แห่งเพชรพระอุมา ตอนที่กำลังจะตายเพราะอากาศที่ร้อนตับแตกและอดน้ำในป่าแฝกที่แสนหฤโหด อยู่ดีๆ ก็มาโผล่ออกที่ริมลำห้วยขนาดใหญ่ น้ำสูงเกินหัวเข่าสาวกะเหรี่ยงที่กำลังเดินข้ามสวนมา “ห้วยแรกและ” เสียงพี่บุญชูร้องบอก เอาเถอะนะ..ข้ามน้ำแบบนี้ก็เย็นดี ดีกว่าเดินฝ่าแดดเปรี้ยงๆแบบที่ผ่านมา พวกเราคิดในใจ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า ห้วยต่อๆมาของพี่บุญชูจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ น้ำแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงห้วยที่เก้า (จากการคาดคะเนของพวกเรา) หนึ่งสาวในคณะของเราก็ได้เปียกทั้งตัว เกือบจมน้ำหายไป ดีที่ว่าคว้าไว้ได้ทัน
พวกเราเดินมาสามชั่วโมงครึ่ง แวะทักทายหมู่บ้านระหว่างทางอีก 2 แห่ง ก็มาถึงดงหญ้าสูงท่วมหัว ที่มีรอยเท้าสัตว์ประเภทกีบย่ำเป็นเทือกไปหมด ทำเอาพวกเราขนลุก เพราะกลัวว่าจะต้องเจอกับฝูงกระทิงหรืออะไรสักอย่างที่รออยู่นอกดงหญ้า พี่ที่มาด้วยบอกว่า ให้พนันกัน 100 เอา 10 เลย ว่าเป็นวัว..ฉันก็เถียงว่า วัวบ้าอะไรจะมาอยู่ในป่าลึกขนาดนี้...แต่ในนาทีต่อมา ที่เราพ้นจากดงหญ้า พวกเราก็ได้ปะทะกองทัพวัวกว่า 50 ตัว เป็นวัวบ้านจริงๆที่ชาวกะเหรี่ยงเลี้ยงไว้
บุกป่าฝ่าดงกันมาขนาดนี้ อย่างน้อยขอให้ได้เห็นเจ้าป่องปง..น้ำตกที่แทบไม่เคยมีใครเข้าไปถึงให้เป็นบุญตาสักหน่อย
ทางข้างหน้าเป็นป่าไผ่ที่ไม่มีเส้นทางเดินเท้าชัดเจน เพราะปกติไม่มีใครเข้ามาที่นี่บ่อยนัก เว้นแต่ตัวพี่บุญชูกับคนในหมู่บ้านที่เข้ามาหาของป่าเป็นครั้งคราว ขนาดพี่บุญชูเองยังต้องหยุดคิดและนึกเส้นทางอยู่เป็นระยะๆ เราพบรอยกองไฟสองสามกองระหว่างทาง ซึ่งพี่บุญชูบอกว่า เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนิทสนมกัน ก็วานให้แกพามาที่ป่องปงนี่เหมือนกัน แต่ต้องพักแรมกลางทางที่นี่ 1 คืน แล้วพวกเราจะพักที่นี่ไหม หรือจะไปให้ใกล้ที่สุด..พวกเราเลือกอย่างหลังแล้วกลั้นใจเดินข้ามห้วยที่สิบเอ็ดตามหลังพี่บุญชูไปติดๆ
ยิ่งฉันเดินไปไกลมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งค้นพบว่า การเดินป่าไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด เราเองก็ทำได้ แม้แต่ช่วงที่ต้องไต่บนขอบเหวที่มองลงไปเห็นน้ำตกกระแทกหิน หมุนวนเป็นแอ่งน้ำจากุชชี่อยู่เบื้องล่าง ไม่มีอะไรให้เกาะยึด นอกจากรากไผ่ป่าที่โผล่พ้นดินมาคืบเดียว
ตอนที่ฉันลื่นไถลลงมาจากขอบผาชันนั้น พี่ที่อยู่ด้านล่างช่วยคว้าข้อเท้าไว้ และพี่บุญชูก็เพียงแค่หันมามอง พร้อมส่งมือที่พยุงกือข้างหนึ่งมาให้แล้วถามว่า “กลัวดั้วะเหรอ..เบาะและก้อไม่เชื่อว่าอย่ะมา อย่ะมา” (แปลไทยชัดๆว่า -กลัวด้วยเหรอ บอกแล้วก็ไม่เชื่อว่าอย่ามา อย่ามา) ประโยคนี้ เป็นประโยควัดใจกันเลยทีเดียว ฉันคว้ามือพี่บุญชูไว้ ดึงตัวเองขึ้นจากขอบผา แล้วกัดฟันตอบว่า “ก็แค่มันลื่น ไม่ได้กลัวซักหน่อย” ...แล้วกลั้นใจอย่างหนักก่อนที่จะเริ่มไต่แบบตีนตุ๊กแกเลียบเขาที่มีที่ให้เหยียบเดินแคบกว่าทางเดินเลียงผาเสียอีก แต่คำพูดซื่อๆเพียงประโยคเดียวของพี่บุญชู ทำให้คนกลัวความสูงที่กำลังขาสั่นอย่างฉัน มีพลังที่จะข้ามผ่านจุดนั้นไปได้ด้วยตัวเอง และฉันยังอดสงสัยไม่ได้ว่า แตะดาวเทียมคู่นั้น ทำไมถึงไม่ลื่นไม่ไถล ยังคงเดินเร่งไปข้างหน้าด้วยอัตราคงที่ ไม่เหนื่อย ไม่พัก แม้กือที่คล้องศีรษะอยู่จะมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัมจากการคาดคะเนของฉัน
เรามาถึงจุดพักแรมประมาณ 6 โมงเย็น พี่บุญชูช่วยกางเต๊นท์ ทำเพิงกันน้ำค้างที่เลียบลำห้วยฝั่งตรงข้ามถ้ำเล็กๆ
คืนนั้น ฉันหลับสนิทด้วยความเหน็ดเหนื่อย แม้จะนอนในเต๊นท์ที่ข้างใต้เป็นหินตะปุ่มตะป่ำ ไม่มีผ้ารอง และอากาศด้านนอกเย็นชื้น หนาวเหน็บจนแทบหายใจไม่ออกก็ตาม แต่มองไปก็เห็นพี่บุญชูที่นั่งก่อไฟกองใหญ่อยู่ด้านนอกให้อุ่นใจเสมอ พวกเราตื่นแต่เช้าตรู่พร้อมกับความชื้นแฉะของเสื้อผ้าและอากาศ เราถูกพี่บุญชูเร่งให้รีบกินข้าว แล้วบอกว่าต้องเดินอีกประมาณ 2 ชั่วโมงจะถึงน้ำตก ต้องรีบออกเดินทางก่อนฝนจะตก พวกเรารีบจัดการอาหารเช้าแบบง่ายๆ คือกับข้าวเหลือจากเมื่อคืน กาแฟสำเร็จรูป เปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่ชุดเปียกของเมื่อวาน แล้วก้าวตามพี่บุญชูที่หายลับเข้าไปในดงป่าเบื้องหน้า ทำเอาเราต้องจ้ำสาวรอยเท้าพี่บุญชูเข้าไปอย่างกระชั้นชิด เพราะป่าบริเวณนี้เป็นป่าดิบ ไม่มีร่องรอยทางเดินอะไรปรากฎให้เห็นเลย พี่บุญชูพาเราลุยห้วยสวนลำธารขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งพี่แกบอกว่าเป็นน้ำจากน้ำตกป่องปงนั่นแหละ พวกเราเลยใจชื้นว่าอีกไม่ไกลคงถึงเสียที
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าของพวกเรา เป็นน้ำตกขนาดไม่ใหญ่นัก มีสายน้ำไหลลงจากผาหินเรียบลื่นที่อุดมไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว มีโขดหินกั้นกระแสน้ำด้านบนเป็นระยะๆ สายน้ำกระโจนลงในแอ่งเบื้องล่างที่เหมือนสระว่ายน้ำแบบวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เมตร ทำเอาฉันถอนใจเฮือกใหญ่..เท่านี้เองนะหรือป่องปง น้ำตกธรรมดาๆที่เทียบไม่ได้กับน้ำตกเอราวัณหรือห้วยแม่ขมิ้น ไม่งาม ไม่ใส ไม่อลังการใหญ่โตและทำเอาฉันเกือบตาย แต่พวกเราก็ดั้นด้นมาจนเจอ
.............................................................................................................................................
เวลามีใครถามว่า น้ำตกนี้สวยคุ้มค่ากับที่ฝ่าฟันไปแทบเป็นแทบตายไหม ฉันตอบได้ทันทีเลยว่า..ไม่... ที่สวยงามคือ ป่าผืนใหญ่ที่เราล่วงเข้ามา มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เข้ามาเยือนโลกยุคดึกดำบรรพ์และใช้ชีวิตเหมือนคนป่าโบราณ ได้รับอากาศบริสุทธิ์ ได้ลงเล่นในลำธารสะอาดใส และได้เห็นหลากสีสันของพันธุ์ไม้นานาชนิดที่แข่งขันประชันความงามในราวป่า
เส้นทางไปป่องปงต่างหากที่คุ้มค่า คนที่นำพาเราเข้าไปต่างหากที่ควรระลึกถึง พี่บุญชูพรานกะเหรี่ยงที่จะไม่มีวันยื่นมือมาช่วยฉุดดึงพวกเราถ้าไม่จำเป็น เพราะรู้ว่า คนเราทำได้ทุกอย่างถ้าไม่ขลาดกลัว เพียงแค่ขอให้พวกเรามีสติและกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง สิ่งสำคัญที่ฉันได้รับจากการเดินทางในครั้งนี้ ก็คือ การเอาชนะตัวเอง เอาชนะความกลัว และความอ่อนแอ
เส้นทางไปตามหาป่องปง เหมือนชีวิตคนเราทุกคนที่ต่างต้องมีจุดหมายที่ตั้งใจไว้ ที่จะไปให้ถึง แม้ว่าทุกย่างก้าวที่กำลังจะล้มลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย และเต็มไปด้วยความรันทดท้อ แต่ต้องกัดฟันเดินต่อไปเพราะ ถ้ากลัวความสูง กลัวกระแสน้ำ จะไม่ได้ข้ามพ้นไปจนบรรลุถึงสิ่งที่ตั้งใจ ถ้าหยุดเดินก็จะทำให้ไปไม่ถึงจุดหมาย กำลังใจเป็นสิ่งที่เราสร้างได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาสร้างให้ ถ้าเจอสิ่งที่ทำให้เราสะดุดล้ม ควรรีบลุกขึ้นใหม่ บอกตัวเองให้ได้เหมือนวันนั้นว่า …“ก็แค่มันลื่น ไม่ได้กลัวซักหน่อย”

9 May 2007

กว่าจะเป็นผีเสื้อ...

ก่อนจะเป็นผีเสื้อ..ต้องเรียนรู้ว่าการเป็นหนอนแสนจะยากลำบากขนาดไหน

กว่าจะเอาตัวรอดจากการเป็นอาหารของสัตว์อื่น

กว่าจะเรียนรู้ที่จะเป็นดักแด้

กว่าจะเรียนรู้ที่จะทนโดดเดี่ยวเพียงลำพังในใยหุ้ม

กว่าจะเรียนรู้ที่จะผ่านบทเรียนของการรอคอยที่ทรมาน

กว่าจะผ่านความเจ็บปวดของการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อจะเติบโตเป็นผีเสื้อแสนสวย

.................................................

เมื่อเลือกที่จะเป็นผีเสื้อ

ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของตนเอง และยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างเต็มใจ

ใช้ความอดทน อดกลั้น รอคอยอย่างสงบนิ่ง..เยือกเย็น

ทนกัดฟันผ่านความเจ็บปวดและน้อมรับบาดแผลของการเติบโต

ในที่สุด..เราก็จะกลายร่างเป็นผีเสื้อแสนสวย

ที่จะโบกบินไปได้อย่างเสรี และเรียนรู้ที่จะรักตัวเองได้มากกว่าที่ผ่านมา

Soul of the World

...The Soul of the World is nourished by people's happiness. And also by unhappiness, envy, and jealousy. To realize one's Personal Legend is a person's only real obligation. All things are one. And when you want something, all the universe conspires in helping you to achieve it.

---THE ALCHEMIST by Paulo Coelho