17 June 2007

ผู้หญิงกินเหล้า 2 : เทียบรุ่น

สมัยสาวๆตอนที่ต่อมความห้าวเพิ่งเริ่มแตก ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มเพื่อนๆและอาจจะเป็นคนเดียวของคณะที่บังอาจไปงัดข้อกินเหล้ากับนักการ หรือภาษาง่ายๆของบ้านเรา ก็คือ ภารโรงนั่นเอง
เนื่องจากคณะที่ฉันเรียนออกจะไฮโซพอควร ในสายตาของคนทั่วไป นักการของเราจึงค่อนข้างจะดูดีมีระดับตามไปด้วย อันหมายถึง เป็นคนที่นักศึกษาต้องพึ่งพาตลอดทั้งการขอใช้ห้องเรียน หรือห้องประชุม สำหรับทำกิจกรรมรอบค่ำ และการอำนวยความสะดวกต่างๆในการใช้สถานที่ทั้งหมดทุกส่วนของคณะ ทั้งในและนอกเวลาราชการ การใช้บริการเวรยามต่างๆ รวมไปถึงธุระอื่นๆทั้งส่วนรวมและส่วนตัวอีกด้วย ซึ่งถ้าเราซี้กับพี่ๆนักการเสียแล้ว ทุกอย่างในคณะนี้ก็ไม่ต้องห่วง ถือได้ว่าพี่ๆนักการนั้นเป็น "ผู้ทรงอิทธิพล" เล็กๆกลุ่มหนึ่งทีเดียว
ดังนั้น การไปร่วมเสวนาในวงเหล้ากับนักการ ถือว่านอกจากจะได้กลุ่มเพื่อนรุ่นใหญ่แล้ว ยังได้ประโยชน์กับการทำกิจกรรมในคณะอย่างมหาศาล แม้กระทั่งการออกค่ายอาสาฯ ที่มีฉันเป็นประธาน ก็ยังมีพี่ๆนักการลางานตามไปช่วยงานค่ายด้วย ซึ่งคณะอื่นไม่มีใครเขาทำกันแน่ๆ ขืนลางานไปแบบนี้คงได้โดนไล่กลับไปนอนให้เมียเลี้ยงอยู่ที่บ้านกันเป็นแถวๆ..
ใครจะเคยเห็น ภาพพี่ๆนักการไปยืนหน้ามันช่วยผสมปูนฉาบฝา ทาสีอาคารเรียน ขุดหลุม ลงเสา กี่ค่ายที่จะมีพี่นักการของคณะตามไปจนถึงหมู่บ้านห่างไกลความเจริญเพื่อช่วยดูแลเป็นธุระเรื่องหุงหาอาหาร รวมไปถึงกับแกล้มในวงสุราตอนแดดร่มลมตก กี่คณะที่จะมีนักการคอยดูแลเป็นหูเป็นตา ตามไปดูแลความปลอดภัยให้นักศึกษานอกสถานที่ถึงขนาดนั้น ไม่มี๊ ไม่มีหรอก บอกได้เลย..
แต่กว่าจะมีวันที่พวกเราและพี่ๆนักการได้ใกล้ชิดสนิทสนมกลมเกลียวกันจนถึงขั้นนั้น ฉันต้องเอาตัวเข้าไปคลุกวงในอยู่หลายยก ฮ่า ฮ่า อย่าเข้าใจผิด ฉันหมายถึงการเอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในวงเหล้าที่พี่ๆเขาสังสรรค์กันเป็นประจำต่างหาก กิจกรรมยามเย็นที่เราพบเห็นอยู่เสมอคือ วงสุราที่พี่ๆนักการแอบซ่องสุมกันอยู่หน้าร้านอาหารใต้ตึกคณะ ซึ่งไม่มีทางที่จะรอดพ้นพวกหูผี จมูกมดอย่างฉันไปได้ ฉันโฉบไปเฉี่ยวมาจนพี่ๆสงสัย แล้วแกล้งเอ่ยปากชวนว่า อ้าว! เอ็ง ไม่ลองกินซักกรึ๊บรึ... จะว่าท้าทายก็ไม่เชิง แต่ก็นะ เรามันก็บุกมาถึงถิ่นขนาดนี้..ลองเสียหน่อยเป็นไร ไม่กินเดี๋ยวจะหาว่า ไม่แน่จริง..
วันที่พี่ๆนักการออกแนวชื่นชมฉันมากที่สุด จนถึงกับเอาไปเล่าเป็นวีรกรรมให้รุ่นน้องได้ฟังต่อมาอีกยาวนานหลายรุ่น ก็คงเป็นวันที่ฉันก๋ากั่นได้ที่ ถึงขนาดยืนดวดแม่โขงเพียวๆตบด้วยมะนาวหนึ่งชิ้น กินมันกันตั้งแต่ยังไม่แดดร่มลมตกเลย แถมซัดกันซะใต้คณะนั่นทีเดียว เย้ยจมูกคณบดีเหลือหลาย แหม! ไอ้ตอนนั้น ฉันก็ว่าเรานี่ช่างแมนเสียเหลือเกิน ไม่ได้มองตามสายตาใครต่อใครหรอกนะ ว่าคนอื่นเขาจะชื่นชมด้วยรึเปล่า แต่ให้มาย้อนคิดตอนนี้ บอกตรงๆ..งง..!! ทำไปได้..
นี่ยังไม่รวมที่พี่ๆนักการที่น่ารัก ที่ได้ช่วยขยายข่าวว่าต้องมาคอยปลุกฉันไปเข้าเรียนในตอนเช้า หลังจากที่ฉันสโลสเล มามหาวิทยาลัยตั้งแต่ตีห้าเศษ แล้วต้องมานอนรอเข้าเรียนด้วยนะ อ๊ะ..อ๊ะ..อย่าตกใจ มิได้ขยันเรียนแต่อย่างใด แต่เพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวดิสโก้เธค (สมัยยังมีแรงดิ้น) เลิกมาตอนตีห้าเศษๆ แต่มีเรียนตอนแปดโมงเช้า ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องเช็คชื่อ เลยตัดสินใจว่านั่งรอประตูมหาลัยเปิดตอนตีห้าครึ่งแล้วเข้าไปนอนในคณะกันเลยดีกว่า ว่าแล้วฉันกับเพื่อนอีกคน (ซึ่งเป็นผู้ชายหน้าตาดีติดอันดับของคณะเสียด้วย) ก็ไปยึดเก้าอี้ยาวสองตัวนอนมันกันเสียที่ริมสนามฟุตบอลฝั่งตรงข้ามคณะนั่นเอง เรื่องนี้ยิ่งน่าอายหนักขึ้นไปอีก ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเมื่อก่อนฉันเป็นไปได้ขนาดนั้น แถมไอ้เพื่อนยากคนนั้น อันเป็นชายในฝันของสาวๆหลายคนในคณะก็ต้องพลอยมารับเคราะห์เสียชื่อเสียงไปกับฉันด้วย หาหญิงควงไม่ได้ไปอีกหลายเดือนกว่าข่าวจะซา จะโทษใครก็คงไม่ได้ พวกเรามันบ้าเอง ฉันเองก็พลอยโดนกระหน่ำด้วยข้อหาว่า ไปเที่ยวแรดกับหนุ่มๆจนเช้า แถมโทรมมาขนาดหนักจนถึงขั้นกลับบ้านไม่ได้ ความจริงฉันไม่ได้มองว่าเรื่องนี้มันน่าเอาเยี่ยงอย่างแต่ประการใด หนำซ้ำยังน่าเขกกะโหลกเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าเอามาเทียบกับเด็กสมัยนี้หลายๆคนแล้ว บอกได้เลยว่า ฉันยอมแพ้ ยกธงขาวให้เลย..
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกเรื่องก็ไม่ใช่ปัญหาของความสัมพันธ์ระหว่างเรา เพราะเรารู้ว่าจริงๆแล้วพี่ๆก็รักพวกเรามากพอดู จึงขยันสรรหาเรื่องราวมาหยอกล้อให้ได้เฮฮากันอยู่เสมอ ทุกๆปีใหม่ และเทศกาลสำคัญต่างๆ ฉันและเพื่อนๆ จะมีของขวัญติดไม้ติดมือเป็นเครื่องเซ่นให้พี่ๆทุกปี แม้กระทั่งจบออกมาแล้ว ก็ยังแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ บางครั้งไม่มีเวลาก็จะฝากคำทักทายไปกับคนที่มีจะมีธุระผ่านไปแถวนั้นเมื่อมีโอกาส
มีเรื่องราวมากมายหลายเรื่องที่พี่ๆนักการและพวกฉัน มีประสบการณ์สนุกๆร่วมกันตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ใช้เวลาร่ำเรียนในมหาวิทยาลัย..แม้เรื่องราวส่วนมากจะเกิดในวงเหล้า แต่บางครั้ง มิตรภาพที่งดงามก็งอกเงยจากวงสุราได้เหมือนกัน เหมือนพี่ๆนักการกลุ่มนี้ ที่ฉันให้ความนับถือประหนึ่งญาติสนิทที่สามารถยกมือไหว้ท่วมหัวได้ โดยไม่ใส่ใจถึงสถานภาพอื่นใดทางสังคม แม้บางคนจะดูซอมซ่อมอซอในสายตาคนอื่น แต่โดยเนื้อแท้น้ำใจแล้ว น่าเคารพกราบไหว้มากกว่าหลายคนที่ใส่สูทผูกไทดูภูมิฐานเสียอีก
พี่ๆเหล่านั้น ทุกวันนี้ต่างคนก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปตามเวลา บางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว บางคนก็โยกย้ายกลับไปอยู่ภูมิลำเนาบ้านเกิดตามอายุราชการ บางคนก็ยังทำงานอยู่ที่เดิม เพื่อที่จะเฝ้ามองนักศึกษาที่ผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากันไป รุ่นแล้วรุ่นเล่า จนกว่าจะถึงวันเกษียนอายุ ในใจคงคิดว่า ซักวัน จะได้เจอเพื่อนรุ่นน้องที่แสบซ่าและอาจหาญมาเทียบรุ่นอย่างพวกเราอีกหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันรู้ว่า พวกเราทุกคนจะจดจำกันและกันได้เสมอ

คิดถึงพี่ๆทุกคน
คารวะและอาลัย แด่..ลุงจวบ ผู้ลาลับ